เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาให้เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เชื่อ ให้เชื่อในพระธรรม
สัจธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์มาก แม้เทวดา อินทร์ พรหมเขาเรียนด้วยความเป็นทิพย์ของเขา เขาอยู่ในการปกครองเป็นทิพย์ของเขา เขายังต้องมาขอฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สัจธรรมๆ ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่มากตั้งแต่เรื่องของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ ถ้ามีการเสียสละมีน้ำใจต่อกัน สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขมาก พอสังคมร่มเย็นเป็นสุข การประพฤติปฏิบัติ อริยสัจยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ มันสามารถแก้สัจจะความจริง แก้กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของสัตว์โลกได้
ในหัวใจของสัตว์โลกนะ นี่เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ในเมื่อเราไปเกิดในสังคม ถ้าเป็นวันตรุษจีนๆ ขงจื๊อ ขงจื๊อเขามีความกตัญญูกตเวที แต่ความกตัญญูนั้นเขาแสดงออกด้วยการประพฤติปฏิบัติของเขาตามความเป็นจริงของเขา
ในพระพุทธศาสนา เวลาสอนถึงความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมายของคนดี แต่คนดีก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เวลาเป็นคนดีแล้ว คนดีมันต้องมีความดียิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้ไง ถ้าดีทางโลกก็เป็นเรื่องดีของทางโลกนะ
ถ้าดีทางธรรม ดีทางธรรม เราจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนไม่สำคัญ สำคัญตรงน้ำใจของเรา ถ้าน้ำใจของเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าคนทุกข์คนจน แต่มันมีสัจธรรมในหัวใจ จะอยู่ที่ไหนก็มีความสุขๆ ไง มันไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจไง
ภัยภายในๆ ภัยภายในหัวใจเรานี่ไง เวลาหัวใจของเรา เราแพ้หัวใจของเรา เรากลัวคนนั้นติฉินนินทา กลัวคนนู้นว่ากล่าวตักเตือน เรากลัวเขาไปหมดเลย
แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ ใครจะว่า ติฉินนินทา โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ถ้ามีลาภสักการะมา เราก็ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา ถ้าเสื่อมยศ เสื่อมยศก็เป็นสัจธรรม เป็นสัจจะความจริง
ถ้าเป็นสัจจะความจริง จะยากดีมีจนไม่สำคัญ สำคัญที่หัวใจของเรา ถ้ามันเข้มแข็ง มันยิ่งใหญ่ขึ้นมา ถ้ามันยิ่งใหญ่ขึ้นมา เรากระทำในหัวใจของเราให้มันพ้นจากภัยภายใน
ภัยภายในคือไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหวไปกับใดๆ ทั้งสิ้น เราจะทุกข์จนเข็ญใจ เขาจะย่ำยีนินทาขนาดไหน เป็นพระๆ เป็นพระที่มีชื่อเสียง ไปไหนก็มีคนนับหน้าถือตา แต่คนที่เขาไม่รู้จัก หลวงตาท่านเคยเลย ท่านบอกไปบิณฑบาตในอุดรฯ นั่นน่ะ มันมีคนมาถึงมากระชากบาตรเลย “ไอ้หัวโล้น บิณฑบาตได้อะไรบ้าง”
ท่านก็มีสตินะ เออ! เราก็หัวโล้นจริงๆ
นี่ไง มันไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย โอ๋ย! ถ้าเป็นคนอื่นนี่มีปัญหาแล้วนะ นี่ไง ถ้าหัวใจที่มันยิ่งใหญ่ เขาพูดจริง ไอ้หัวโล้นก็หัวโล้นจริงๆ เราออกภิกขาจาร ออกภิกขาจารนะ บิณฑบาตเลี้ยงชีพ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราโปรดสัตว์นะ โปรดสัตว์ สัตว์ที่ควรได้โปรด ความโปรดสัตว์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ของเราไปให้สัตว์โปรดไง บิณฑบาตกลัวจะไม่ได้นั่นไม่ได้นี่ นี่พูดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง การเห็นสมณะนะ สมณะจากภายนอก เรารู้ได้อย่างไรว่าสมณะภายนอกเป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ เป็นสมณะเฉพาะเราเห็นหรือเปล่า แล้วพ้นจากเราไปไม่เป็นสมณะใช่ไหม
เวลาการเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ แล้วสมณะเป็นอย่างไร นี่ไง การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคลชีวิตนะ ใครได้พบเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านฉายแสงฉัพพรรณรังสี โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มาก มันปลื้มมาก ความปลื้มมาก หัวใจได้เป็นทิพย์ ตายไปไปเกิดเป็นเทวดานะ
เวลาไอ้พวกเดียรถีย์นิครนถ์ เวลาเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามเบียดเบียน นี่เขาก็เห็นสมณะ เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
ผู้ที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บุญกุศล อันนั้นก็เป็นบุญกุศลของเขา ผู้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทำลายๆ เทวทัตนี่ธรณีสูบไปสดๆ ร้อนๆ เลย นั่นเวลาเห็นสมณะๆ สมณะเป็นมงคลของชีวิต เป็นมงคลชีวิตถ้าใจเราเป็นธรรม
แต่ถ้าใจเราเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นบาปอกุศลนะ ถ้าเป็นบาปอกุศลแล้ว เวลาระลึกได้ ขอขมาต่อกัน มหาปวารณา ทำพลาดสิ่งใดก็ขอการปวารณาต่อกัน นั่นเป็นสมณะ การเห็นสมณะ
ถ้าสมณะภายในล่ะ เราเป็นสมณะหรือไม่ เราก็เป็นสมณะได้นะ นี่ไง ถ้าเราเป็นสมณะได้ จิตใจที่เราพ้นภัยจากภายในไง ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ครอบครัวของมารไง ครอบครัวของมารมันก็บีบบี้สีไฟให้มีแต่ความทุกข์ความยากไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ เพราะอวิชชาพาให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะอวิชชา
พลังงานมีขั้วบวกขั้วลบ ขั้วลบมันก็มีประโยชน์ของมันนะ ถ้าไม่มีขั้วลบ เห็นไหม รูปกับนาม ถ้าไม่มีนาม ไม่มีความว่าง รูปก็ไปไม่ได้ รูปนาม นามรูป มันหมุนของมันไป มันเป็นวัฏฏะ นี่ก็เหมือนกัน อวิชชาๆ มันเป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมะเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง อวิชชาก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นสมณะมันเหนือธรรมชาติ เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือต่างๆ ไง แล้วมันมาจากไหน
นี่ไง เราเป็นชาวพุทธๆ เราชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมด้วยมันก็เข้ากันได้ จิตใจเป็นธรรมด้วยมันก็เข้าใจ
สมณะผู้ขอ เต็มไปหมดเลย สิ่งต่างๆ สมณะขี้ขอๆ เวลาขี้ขอ ใครเขาเบื่อหน่าย สมณะขี้ขอๆ
สมณะเขาไม่ต้องขอ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไปโปรดสัตว์ แต่ไอ้พวกเปรตไปให้สัตว์โปรด เวลามันไปไหนสัตว์ต้องโปรด พยายามจะแย่งชิงจะเอาแต่ของดีๆ เอาแต่ความพอใจของตน แล้วมันพอใจไหม นั่นมันเปรต
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น เวลาครูบาอาจารย์เราไม่เป็นอย่างนั้น เลี้ยงชีพขอให้มีข้าวสองปั้นสามปั้นตกใส่บาตรพอแล้ว เวลาออกวิเวก หาแต่บ้านน้อยๆ สองหลังสามหลังก็พอ มากกว่านั้นเขามากวนๆ
เขามากวน ถ้าพูดถึงเขามากวนก็คิดว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัว เวลาเขามากวนๆ เขามากวนคือเขามาสอบถาม เขามาต่างๆ ก็เป็นการกวน เป็นการเบียดเบียนเวลาของเราแล้ว
เวลาของเรานะ เวลามันประพฤติปฏิบัติมันเข้าด้ายเข้าเข็มนะ สิ่งนี้นะ เวลาอดอาหาร อดอาหารแล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา โอ้โฮ! มันเข้าด้ายเข้าเข็ม มันอยากได้ๆ อันนั้นมันประเสริฐไง ไอ้แค่เลี้ยงชีพมันไร้สาระมากเลย
แต่สุดท้ายแล้วมันโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง โดยวิทยาศาสตร์ ใครเห็นอาหารเป็นโทษไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์มันรู้จักปัจจัย ๔ นั่นน่ะมันก็เป็นประโยชน์กับการดำรงชีพ แต่ถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็เอาสิ่งนั้นน่ะ เวลากินเสร็จแล้วก็ไปฟิตเนสกันไง ไปลดความอ้วน กินเท่าไรก็ต้องไปลดอย่างนั้นไง นั่นน่ะเวลากินโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ มันต้องการอยู่แล้ว ฉะนั้น มันถึงจะต้องออกไปหาอาหารมาเพื่อดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ภาวนาๆ ไง ถ้าจะเป็นสมณะภายในมันจะเห็นคุณค่าของมันไง ถ้ามันเห็นคุณค่าของมัน เห็นคุณค่าของเวลาวิถีแห่งจิต
เวลามรรคมันเกิดนะ เวลาศีล สมาธิ ปัญญาที่มันหมุนอยู่ภายในใจ ธรรมจักรๆ จักรที่มันหมุนติ้วๆ เวลาคนภาวนานะ เวลาปัญญาถ้ามันจุดติดแล้ว ถ้ามันหมุนของมันไปนะ เราจะเห็นความมหัศจรรย์
ความมหัศจรรย์ หัวใจของสัตว์โลกมันมหัศจรรย์มาก แต่เวลาที่มันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลากิเลสมันบีบบี้สีไฟมันก็ปิดหูปิดตา มันก็ทุกข์มาก คิดอะไรกิเลสพาคิดทั้งนั้นเลย อยากได้มรรคได้ผลโดยการอ้อนวอนขอ โดยการพยากรณ์ โดยคนชี้นำ อู๋ย! มันทุกข์มันยากไปหมด อยากได้ๆ แต่ไม่ได้
แต่ถ้ามันจะเป็นจริงๆ นะ อยากได้มาก อยากได้มากนะ พออยากได้มากต้องวางไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้บอกทางนะ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านรู้จักกิเลสดี รู้จักหน้ากิเลสดี เวลากิเลสมันปลิ้นปล้อน มันปลิ้นปล้อนนะ ดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ ภาวนาสุดยอด ใครๆ ก็ชมว่าเราดี ใครๆ ก็ชื่นชม...หลงตัวเองบ้าบอคอแตกไปอยู่นั่น แล้วเห็นเขาได้ก็อยากได้กับเขา
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านพูดถึงพระสีวลี เวลาไปไหน ถ้าพระสีวลีมาด้วย พระเราจะไม่อัตคัตขาดแคลน เพราะอะไร เพราะพระสีวลีเลิศในทางลาภ พระอุบาลีเลิศในทางวินัย พระอนุรุทธะเลิศทางรู้วาระจิต
คำว่า “เลิศๆ” คือจริตนิสัยที่เขาได้สร้างของเขามา สิ่งที่เขาได้สร้างของเขามา เขาได้สร้างของเขามาเป็นความถนัดของเขา ถ้าเป็นความถนัดของเขา ใครทำตามความถนัดของตนนั่นเป็นเรื่องธรรมดา นกบินได้ ไม่มีความมหัศจรรย์อะไรเลย นกบินได้ แต่คนอยากบินนี่สิ
นกมันบินได้โดยธรรมดาของมัน นกมันต้องบินได้อยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันจะเป็นไป มันมีอำนาจวาสนามันจะเป็นไป มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นไง
นกบินได้ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันจะบินได้มันจะบินด้วยมรรคด้วยผล ถ้าบินด้วยมรรคด้วยผล มันเป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วมันเป็นภายใน เป็นภายในจนคนที่เป็นตกใจนะ เอ๊อะ! เอ๊อะ! ทำไมเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วนะ เราเองยังตกใจ แล้วมันจะไปพูดให้ใครฟัง ถ้าพูดไปแล้วเขาจะเชื่อหรือ ถ้าพูดไปแล้ว ไอ้นั่นก็เป็นคนบ้า บวชมาเป็นพระ บวชมามีสติมีปัญญา แล้วบอกเป็นมหาสติ มหาปัญญา ยังมาเพ้อเจ้อเพ้อพกอยู่อย่างนี้อีก เห็นสมณะเขาจะชื่นชมบูชา นี่เขาเห็นสมณะเขาจะวิ่งหนีเลยล่ะ มันกำลังใกล้บ้า
นี่พูดถึงว่า ถ้ามันมีสติมีปัญญา เรายังตื่นเต้น แล้วจะไปบอกเขาได้อย่างไร ใครเขาจะไปเชื่อ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นแล้วนะ มันผ่านมาแล้วเขารู้กันหมดแหละ ถ้ารู้กันหมด สิ่งนั้นมันผ่านของมันไป ถ้ามันผ่านของมันไป ถ้ามันเป็นอริยสัจหรือสัจจะความจริงที่มันเป็นมรรค เป็นปัญญาขึ้นมา มันยิ่งมหัศจรรย์ในตัวของมันเอง นี่มันจะเป็นสมณะภายใน เราจะเป็นสมณะภายใน เรามีสิทธิว่าเราเป็นสมณะได้ทุกๆ พุทธะ ทุกๆ ผู้รู้ในหัวใจของสัตว์โลก
สัตว์โลกเกิดมามีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน เวลามีสิทธิมีเสรีภาพ แล้วเราเคยใช้ศักยภาพอย่างนี้หรือไม่ เราไม่เคารพตัวเราเองไง เราเห็นว่าเราเป็นผู้อ่อนด้อยไง เป็นผู้อ่อนด้อยเพราะอะไร เพราะเราไปผวากับไอ้ความทุกข์ความยาก อวิชชาที่เราไม่รู้อยู่นั่นไง
เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธสิ เราทำความสงบของใจเข้ามา พอใจมันสงบระงับเข้ามา มันตื่นตัวขึ้นมา สิ่งที่หลับใหลแล้วมันตื่นขึ้นมา พอมันตื่นขึ้นมา ดูความมหัศจรรย์ของใจเราสิ ถ้าใจเรามหัศจรรย์แล้วถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาเป็น มันใช้ปัญญาได้ของมัน นี่มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม เวลาเป็นสมณะมันเป็นที่นี่
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เวลาศึกษามา ศึกษาเพื่อทรงจำธรรมวินัย เวลาบวชพระๆ ตามวัฒนธรรมประเพณี ถ้าลูกของใครได้บวช พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป คำว่า “ได้ ๑๖ กัป” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ธรรมได้ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น ทศชาติ เวลาไปอ่านเรื่องทศชาติมันเศร้าใจนะ โอ้โฮ! ต้องลงทุนลงแรงกันขนาดนั้น
แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องสละลูกสละเมีย ต้องสละทั้งนั้น ชาติสุดท้ายต้องสละแบบพระเวสสันดร แล้วสละมากกว่านั้นด้วย บางทีสละรุนแรง
ในพระไตรปิฏกมันมี แปลออกมาว่า พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปสละแล้วยักษ์กินต่อหน้าเลยล่ะ นี่มันต้องทำขนาดนั้น มันจะมีอำนาจวาสนาบารมีมาขนาดนั้น ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีขนาดนั้นนะ สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมา พระพุทธศาสนาเวลาจะเกิดแต่ละยุคแต่ละคราวมันแสนยากๆ นะ แล้วทีนี้พอมันแสนยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราก็อยากได้บุญกุศล เราบวชลูกบวชหลานไปค้ำศาสนา พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เข้าไปค้ำจุนศาสนานั้นน่ะ มันก็เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเราไง ถ้าเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา
แต่เราเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็บวชเป็นภิกษุณี ปัจจุบันนี้เราก็จะบวชหัวใจของเรา เราจะบวชด้วยมรรคด้วยผล เวลาพระจะไปบวชต้องมีอุปัชฌาย์นะ แต่ถ้าเราบวชด้วยมรรคด้วยผล บวชหัวใจ เวลาพระเขาบวชมาแล้วบวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาแล้วเขาจะประพฤติปฏิบัติของเขา สิ่งที่ปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจของเรา นี่สิ่งที่มีคุณค่าๆ
ถ้ามันบวชมาเป็นวัฒนธรรมประเพณีมันก็เป็นแบบนั้นใช่ไหม แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องมีคุณค่า มีมรรคมีผล มันมีสัจจะมีความจริง ไม่ใช่มีแต่ความเชื่อๆ ถ้ามีความเชื่อๆ มันก็เหลวไหล มันต้องมีความจริงสิ
ถ้ามีความจริงขึ้นมา สัจจะความจริงอันนั้นถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วมันเหนือโลก เหนือโลก รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เริ่มต้นมันเห็นอย่างนั้นมาก่อน แล้วมันวางรูป รส กลิ่น เสียงขึ้นมามันก็เป็นอิสรภาพ เป็นปุถุชน เป็นกัลยาณปุถุชน เวลาพิจารณาไป พิจารณา เวลาสังโยชน์มันขาดไป ๓
สังโยชน์ขาดไป ๓ เป็นพระโสดาบัน ถ้ากามราคะปฏิฆะอ่อนลง เป็นพระสกิทาคามี เวลากามราคะปฏิฆะขาดไป เป็นพระอนาคามี สิ่งที่ทำลายภพทำลายชาติ ทำลายภวาสวะ ปฏิสนธิจิตๆ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มันทำลายทั้งผ่องใส ทำลายทุกๆ อย่างสิ้นไปหมดเลย นี่สมณะภายใน สมณะความเป็นจริง แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ
ตำราก็เป็นตำรานะ ศึกษามานี่ตื่นเต้น เห็นสมณะภายนอก เห็นครูบาอาจารย์เป็นมงคลชีวิตกับเรา เป็นมงคลชีวิตที่ว่าเราได้เห็น ได้สัมผัส ถ้ามันเป็นความจริงของเราขึ้นมานะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่เห็นตถาคต
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านสิ้นกิเลสไปเป็นพระอรหันต์ แต่มันแตกต่างจากสาวกสาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟัง สาวกสาวกะผู้ได้ร่ำเรียนสิ่งที่มีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี ค้นคว้าเอง หาเอง ทำขึ้นมาเอง มันต่างกันมากตรงนี้ไง แต่เวลาสิ้นไปแล้วมันเหมือนกัน เป็นสมณะเหมือนกันไง สมณะของเรา นี่ไง สิ่งที่มีคุณค่าๆ
ในเมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพบพระพุทธศาสนาขึ้นมา เราจะขวนขวายของเราให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา
ความทุกข์มีทุกคน ความทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่ถ้าวันไหนจิตของเรามันตื่นตัวขึ้นมา เราจะซาบซึ้งถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซาบซึ้งในความสำนึก ซาบซึ้งจากหัวใจ ซาบซึ้งจากจิตใต้สำนึก โอ้โฮ! มันเป็นสมบัติของเรา มันอยู่กับเราตลอดไป
มันอยู่กับเราตลอดไป ที่ว่าเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่มันเป็นไปมันเป็นความจริง เวลาอกุปปธรรมๆ ไม่แปรสภาพ ไม่เปลี่ยนแปลง ตลอดไป แล้วตลอดไปๆ ตลอดไปถึงที่สิ้นสุดไง ถ้ามันสิ้นสุดแล้วมันเป็นสมบัติของเราๆ ถ้าเป็นสมบัติของเราแล้วมันเป็นความจริงๆ เกิดจากที่ว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีสติมีปัญญาแล้วใคร่ครวญพิจารณา
หน้าที่การงานเป็นเรื่องหนึ่ง ทรัพย์สมบัติที่หาได้มาเป็นเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าเรื่องของเราๆ เรื่องของหัวใจเรา ความลับไม่มีในโลก จะไปอยู่ที่ไหนมันก็เจ็บมันก็คันอยู่ในใจนั่นน่ะ
แต่ถ้ามันเป็นความจริง ไปอยู่ที่ไหน ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่มี แต่มี ถ้ามันไม่มีจนไม่มีเลย แล้วสุขอย่างยิ่งเป็นอย่างใด สุขอย่างยิ่ง สุขแปลกโลก สุขที่โลกนี้ไม่มี นั้นคือวิมุตติสุข เอวัง